ก่อนอื่น Bitcoin คืออะไร?
Bitcoin คือระบบสกุลเงินชนิดนึง ที่พยายามออกแบบมาให้เกิดความโปร่งใสที่สุด ซึ่งมีเทคโนโลยี BlockChain อยู่เบื้องหลัง
ข้อมูลของเงินทั้งหมดเก็บไว้ที่ไหน?
เราจะเก็บข้อมูลที่สำคัญมากๆ เช่น จำนวนเงินของทุกคนและประวัติการโอนเงิน ให้ไม่ให้มีวันสูญหาย และโปร่งใสที่สุดได้ยังไง?
ปกติแล้วการเก็บข้อมูลดิจิตอลต่างๆ อย่างที่เราเข้าใจกันแบบบ้านๆ ก็เก็บในฮาร์ดดิสก์ ที่อยู่ในคอม แต่ถ้าเครื่องดันพัง ข้อมูลก็หายหมด หรือถ้าวันนึงเจ้าของคอมเครื่องนั้นนึกอยากจะแก้ข้อมูลอะไร ก็เข้าไปแก้ได้เลย อาจจะทำให้เกิดการบิดเบือนข้อมูลหรือทุจริตได้ (ซึ่งถ้าเป็นข้อมูลที่สำคัญ อาจจะไม่ใช่ตัวเจ้าของเครื่องที่แก้ไขเอง แต่จะเป็นพวก Hacker ที่เข้ามา Hack ระบบแล้วทำการแก้ไขข้อมูลได้)
หลักการของ Bitcoin ซึ่งมี BlockChain อยู่เบื้องหลังก็เลยมองว่า แทนที่จะให้ใครคนใดคนนึง (ธนาคาร) เก็บข้อมูลทุกอย่าง งั้นให้ข้อมูลทุกอย่าง (ทุกบัญชี, จำนวนเงิน, การทำรายการ) เก็บอยู่ในเครื่องของเราทุกคนเลย
ซึ่งสมมุติว่าถ้ามีคนใช้ Bitcoin 1,000 คน ถ้าข้อมูลหายหรือพังไปพร้อมกัน 999 คน (ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก) ก็ยังเหลือคนที่เก็บข้อมูลทุกอย่างอีก 1 คน เรียกได้ว่าข้อมูลจะหายได้ก็ต่อเมื่อเครื่องคอมของทุกคนพังพร้อมกันทั้งโลกในวินาทีเดียวกัน
ถ้าสังเกตดีๆ มันคือหลักการคล้ายๆ ของ BitTorrent (peer-to-peer file sharing???P2P ) ที่เราอาจจะคุ้นเคยกันดี โดยนำ File เก็บไว้ในเครื่องของทุกคน ถ้ามีคนใหม่ต้องการ File ก็ทำการดาวน์โหลดมาจากเครื่องของทุกคนพร้อมกัน
งั้นก็แปลว่าในเมื่อเรามีข้อมูลทั้งหมดของ Bitcoin อยู่ในเครื่องเรา เราก็สามารถรู้จำนวนเงินของใครก็ได้ในโลก หรือว่าใครโอนเงินให้ใครเท่าไหร่ ตอนไหน ใช่หรือเปล่า?
คำตอบคือใช่ เช็คได้แบบทะลุปรุโปร่ง
สามารถเข้าไปดูได้ที่นี่ https://blockexplorer.com/ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะชื่อเจ้าของบัญชีที่เห็นจะไม่ใช่ชื่อจริง แต่จะเป็นรหัสอะไรบางอย่าง แทนตัวเรา ซึ่งก็จะไม่รู้อยู่ดีว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง
ระบบจะรู้ได้ไงว่าใครโอนเงินหาใคร แล้วโอนจริงไหม?
ในการทำการโอนเงินให้ใครซักคน ถ้ารูปแบบธนาคารที่เราใช้อยู่ทุกวัน ธนาคารจะเป็นคนรับรองการโอนเงินว่าการโอนนั้นถูกต้อง
แต่พอทุกคนเป็นเจ้าของระบบแล้ว แล้วใครล่ะ จะเป็นคนเช็คว่าการโอนเงินในแต่ละครั้งนั้นถูกต้อง?
คำตอบคือใครก็ได้ อ่าว?! แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนนั้นจะไม่ฮั้วกันกับคนโอนเงิน แล้ววางแผนโกงกัน
ซึ่งตัว Blockchain แก้ปัญหานี้ได้ฉลาดมาก ในเมื่อเราไม่อยากให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นคนคุมระบบ หรือการรับรองทุกการโอนเงินขึ้นอยู่กับแค่คนๆ เดียว และเราไม่อยากให้เลือกได้ว่าใครจะเป็นคนรับรอง เพื่อกันการฮั้วกัน งั้นเราก็สุ่มคนที่จะมารับรองมันเลย
แต่แทนที่จะสุ่มแบบบ้านๆ ในการโอนเงินแต่ละครั้ง ระบบจะยังไม่ตัดเงินจริง โดยจะรวบรวมไว้ก่อนเก็บเป็น Block (อันนี้คือที่มาชื่อ Blockchain) พอได้ Block มาก็ทำการใส่รหัส Lock ไว้
ซึ่งการจะปลด Lock ได้ จะต้องแก้สมการถอดรหัสด้วยการสุ่มค่าไปเรื่อยๆ เมื่อนักขุด (Bitcoin Miner) สามารถยืนยัน Block ได้แล้ว Block นั้นจะถูกเชื่อมต่อกับ Block ก่อนหน้ากลายเป็น Chain ที่ยาวขึ้น ในขณะที่นักขุดจะได้ Bitcoin เป็นรางวัลตอบแทนที่ช่วยยืนยันธุรกรรมทางการเงินดิจิทัลให้ผู้อื่น เป็นแรงจูงใจในการช่วยยืนยันธุรกรรมต่อไป
ใครที่ถอดรหัสได้ก่อนก็จะได้ตังไป แล้วก็เป็นการยืนยันไปในตัว
ซึ่งด้วยความยากของการปลด Lock จะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 10 นาที เมื่อแก้ได้แล้วถึงจะยืนยันว่ามีการโอนเงินจริง นั่นหมายความว่า ทุกคนจะต้องใช้เครื่องคอมแข่งกันสุ่มแก้สมการและไม่มีใครรู้เลยว่าใครจะถอดรหัสได้ก่อนกัน ซึ่งคนที่เอาเครื่องมาแก้สมการจะเรียกว่า Bitcoin Miner (นักขุด bitcoin) ถือว่าเป็นระบบที่ทุกคนช่วยกันทำ ช่วยกันใช้จริงๆ
CR: https://notjiam.com